Home บทความทั้งหมด Website เทคนิค A/B Testing ให้เว็บไซต์ขายของได้เยอะขึ้น!

เทคนิค A/B Testing ให้เว็บไซต์ขายของได้เยอะขึ้น!

Mr.Pagapong Neungmanow

A/B Testing คืออะไร

การทำ A/B Testing เป็นการเทสเว็บโดยจะเอาเว็บหน้าตาเหมือนกันทำเป็นหลายเวอร์ชั่น โดยเปลี่ยน Element ให้ต่างกันแค่ 1 ส่วน เช่น เปลี่ยนปุ่มสมัครสมาชิกจากสีแดงเป็นสีฟ้า หรือเปลี่ยนตัวหนังสือคำโปรยจากประโยคนึงเป็นอีกประโยคนึง เป็นต้น คนเข้าเว็บไซต์ก็จะได้รับการสุ่มว่าจะเห็นเว็บเวอร์ชั่นไหน โดยเค้าจะทำการวัดผลว่าเวอร์ชั่นไหนที่คนเข้าแล้วทำสิ่งที่เค้าต้องการมากกว่ากัน เช่น เวอร์ชั่นไหนสมัครสมาชิกมากกว่ากัน เวอร์ชั่นไหนคนซื้อของมากกว่ากัน เป็นต้น โดย % ของคนที่ทำสิ่งที่เค้าต้องการ (เช่น ปุ่มสีแดงคนสมัครสมาชิก 50% ปุ่มสีฟ้าคนสมัคร 80%) เรียกว่า Conversion Rate ครับ โดย A/B Testing เป็น Method หรือวิธีการนึงในการทดสอบเว็บไซต์เชิง User experience หรือ UX นั่นเองครับ A/B Testing เป็นการวัดผลในเชิง Quantitative หรือวัดเชิงปริมาณ แปลว่าหลังจากการทดสอบแล้วเราจะได้ผลลัพธ์ที่ออกมาในเชิงตัวเลข เห็นความแตกต่างทั้งสองกลุ่มด้วยตัวเลขนั่นเองครับ


A/B Testing ทำไปทำไม

ทำเพื่อดูว่าดีไซน์แบบไหนที่คนจะทำสิ่งที่เค้าต้องการมากที่สุด ยิ่งคนทำสิ่งที่เค้าต้องการเยอะก็แปลว่าเว็บไซต์ได้รับผลประโยชน์มากขึ้นนั่นเอง ซึ่งหลาย ๆ อย่างเราคิดว่ามันดีแล้ว คิดว่าทำแบบนี้คนชอบ แต่จริง ๆ ถ้าทำ A/B Testing จะเห็นชัดว่าสิ่งที่เราคิดนั้นมักจะผิด


เทคนิคการทำ A/B Testing ที่ดี

1. หาเป้าหมายที่เราต้องการ

ดูว่าเป้าหมายของธุรกิจเราคืออะไร
– เช่น เว็บไซต์ขายของ เป้าหมายคือขายให้ได้เยอะที่สุด จากเป้าหมายของธุรกิจเรา ถ้าคิดในเชิงเว็บคือให้ลูกค้าทำอะไร
– เช่น เว็บไซต์ขายของอยากขายให้เยอะที่สุด ก็ต้องให้ลูกค้ากดสั่งซื้อบนเว็บไซต์เยอะที่สุด คิด KPI ที่เราต้องการ
– KPI คือ เป้าหมายที่เราอยากได้ เช่น อยากให้คนซื้อของ 100 ชิ้น ตั้งระยะเวลาของ KPI
– ถ้าเราไม่ตั้งระยะเวลาของ KPI เราก็ไม่สามารถบอกได้ว่าดีมั้ย บอกว่าอยากขายของ 100 ชิ้นแต่จะขายเป็นปีมันก็ไม่ใช่ เพราะงั้นต้องกำหนด KPI พร้อมระยะเวลาด้วย เช่น ขายของเดือนละ 100 ชิ้น


2. จะทำ A/B Testing ตรงไหนดี วัดอะไรดี

บางทีหน้าที่ควรเทสไม่ใช่หน้า Home Page เพราะบางเว็บไซต์หน้าที่คนเข้าเยอะที่สุดเป็นหน้าบทความ ที่คนคลิกมาจาก Google ดูยอดคนเข้าของหลาย ๆ หน้าเพื่อหาสิ่งที่เป็นปัญหาของลูกค้า เช่น บางที User อาจจะหาข้อมูลเรื่องการส่งของไม่เจอ เลยไม่สั่งซื้อกับเรา หรืออาจจะดู Exit Page ด้วย ให้เช็คสิ่งต่าง ๆ ดังนี้
– User หาข้อมูลอะไรอยู่ในหน้านั้น
– มีอะไรที่หยุด User จากการกดไปหน้าอื่นมั้ย
– User มาเว็บเราผ่านช่องทางไหน เว็บไซต์ไหน
– User คาดหวังว่าจะได้ข้อมูลอะไรจากหน้านั้น
– User ขาดอะไรที่จะดึงดูดให้ไปหน้าอื่นหรือเปล่า

การเลือกหน้าที่จะเทส ให้ดูคิดจากสิ่งต่าง ๆ ต่อไปนี้
– คนเข้าเยอะแค่ไหน ยิ่งเยอะยิ่งดี แปลว่าเราเปลี่ยนแล้วจะมีผลกับคนหมู่มาก
– หน้านี้จะทำเงินให้เราได้แค่ไหน ยิ่งถ้าเป็นหน้าสำคัญ ๆ เช่น หน้า Checkout ยิ่งมีผลมากที่จะ optimize ให้ดีที่สุดครับ


3. เริ่มทำ A/B กันเลย

พอได้เป้าหมาย + เลือกหน้าที่จะเทสแล้ว ให้ตั้งสมมติฐานขึ้นมาจากปัญหาที่เจอ เช่น “คนสมัครสมาชิกมีแค่ 5% ของคนเข้าเว็บ ถ้าเราเปลี่ยนปุ่มสมัครสมาชิกให้ใหญ่ขึ้น จะทำให้คนสมัครเพิ่มขึ้นมั้ย?” โดยสมมติฐานที่ดีควรจะประกอบด้วย
– เทสจริงได้ วัดผลได้
– ช่วยเพิ่ม Conversion Rate
– สามารถนำข้อมูลมาประมวลผลเทางการตลาดต่อไปได้

ถ้าคิดไม่ออกว่าจะเทสอะไรดี สิ่งที่ควรต้องเทสหลัก ๆ มีดังนี้
– ปุ่ม Call to Action คำในปุ่ม สีปุ่ม ขนาดปุ่ม
– ตัวหนังสือ การใช้คำ
– Form ความยาวฟอร์ม ตัวหนังสือในฟอร์ม
– Layout หน้าต่าง ๆ
– ราคาสินค้า หรือแพลนในการขายสินค้า
– รูป ขนาดรูป จุดที่วางรูป
– ความยาวของเนื้อหาในหน้า


4. ทำซ้ำไปเรื่อย ๆ

การทำ A/B Testing ไปเรื่อย ๆ เท่ากับว่าทำให้เว็บไซต์ดีขึ้น แล้วก็รายได้เพิ่มมากขึ้นนั่นเอง เพราะฉะนั้นให้ทำหลาย ๆ ครั้งเพื่อให้ได้ผลออกมาดีที่สุดครับ อย่างเราก็ตาม อย่าลืมคิดว่าการทำ A/B Testing จะเทสแค่ทีละส่วน ทำให้เป็นการปรับแต่งเว็บเดิมให้ดีขึ้นเท่านั้น ซึ่งก็มีลิมิตสูงสุดที่มันจะดีที่สุดได้ของดีไซน์เดิม อย่าลืมมองหาดีไซน์แบบใหม่ ๆ ที่อาจจะทำให้ Conversion Rate ดีกว่าดีไซน์แบบเดิมด้วย นอกจากนั้น อย่าลืมคิดเรื่อง SEO ถ้า Google ไปเจอหลายเวอร์ชั่นของหน้าเดียวกันอาจคิดว่าเป็น Duplicate Content ได้ ให้รีบเทส รีบเก็บผล แล้วใช้เวอร์ชั่นที่ดีที่สุดเพียงอันเดียว

2020 © blog.ziidev.com